เมษายน 24, 2025

ทีมหงส์แดงในเวทียุโรป: จากยุคตกต่ำสู่แชมป์ UCL 2019

 ทีมหงส์แดงในเวทียุโรป: จากยุคตกต่ำสู่แชมป์ UCL 2019

ฟุตบอลคือกีฬาที่เต็มไปด้วยวัฏจักรแห่งความรุ่งโรจน์และความตกต่ำ ไม่มีสโมสรใดที่อยู่บนจุดสูงสุดตลอดไป และไม่มีทีมใดที่ย่ำแย่ไปตลอดชีวิต สำหรับ ลิเวอร์พูล  สโมสรยักษ์ใหญ่จากเกาะอังกฤษ นี่คือเรื่องราวแห่งการกลับมาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเรื่องหนึ่งในประวัติศาสตร์ฟุตบอลยุโรป

บทความนี้จะพาคุณย้อนรอยการเดินทางของลิเวอร์พูล จากจุดตกต่ำหลังยุคทอง สู่การกลับมาอย่างงดงามในเวทียูฟ่า แชมเปียนส์ลีกปี 2019 ที่แฟนบอลทั่วโลกต้องจดจำ

ทีมหงส์แดง


บทที่ 1: จากมหาอำนาจยุโรป สู่เงามืดหลังยุคทอง

ในช่วงทศวรรษ 1970–1980 ลิเวอร์พูลคือจ้าวยุโรปที่แท้จริง ด้วยการคว้าแชมป์ยูโรเปียน คัพ ถึง 4 สมัย (1977, 1978, 1981, 1984) ภายใต้การนำของกุนซืออย่างบ็อบ เพสลีย์ และโจ เฟแกน

แต่หลังจากเหตุการณ์ เฮย์เซล (Heysel Disaster) ในปี 1985 ที่เกิดเหตุการณ์เศร้าสลดในรอบชิงชนะเลิศระหว่างลิเวอร์พูลกับยูเวนตุส ซึ่งส่งผลให้สโมสรอังกฤษโดนแบนจากฟุตบอลยุโรปถึง 5 ปี — ลิเวอร์พูลเริ่มเข้าสู่ช่วงเวลาที่เรียกได้ว่า “ยุคมืด”

แม้จะยังคงความแข็งแกร่งในลีกภายในประเทศ แต่บนเวทียุโรป ลิเวอร์พูลเริ่มหายไปจากสารบบของทีมลุ้นแชมป์ และเมื่อเข้าสู่ยุคพรีเมียร์ลีกในปี 1992 ลิเวอร์พูลเริ่มหลุดจากการเป็นทีมระดับท็อปของประเทศอย่างชัดเจน


บทที่ 2: แสงแห่งความหวังและแชมป์ยุโรปสมัยที่ 5 (2005)

ภายใต้การคุมทีมของ ราฟาเอล เบนิเตซ ลิเวอร์พูลเริ่มมีความมั่นคงอีกครั้ง และในฤดูกาล 2004–05 พวกเขาได้สร้างปาฏิหาริย์ที่โลกไม่อาจลืม — ปาฏิหาริย์แห่งอิสตันบูล กับการพลิกกลับมาตีเสมอจากตามหลัง 0-3 เป็น 3-3 ก่อนเอาชนะเอซี มิลานในช่วงจุดโทษ

แม้จะคว้าแชมป์ยุโรปสมัยที่ 5 ได้สำเร็จ แต่ลิเวอร์พูลในยุคนั้นกลับไม่มีเสถียรภาพในการลุ้นแชมป์ลีกหรือการสร้างทีมระยะยาว และหลังจากปี 2005 ก็เข้าสู่ช่วงซบเซาอีกครั้ง


บทที่ 3: ยุคแห่งความวุ่นวาย (2010–2015)

ช่วงเวลานี้ถือเป็น “ยุคมืด” ที่แท้จริงของลิเวอร์พูล แม้จะมีนักเตะอย่าง สตีเว่น เจอร์ราร์ด เป็นหัวใจของทีม แต่การขาดการลงทุนและการบริหารที่ไม่มั่นคงส่งผลให้ทีมวนเวียนอยู่กับการเปลี่ยนแปลง

  • เจ้าของสโมสรเปลี่ยนมือ
  • ผู้จัดการทีมเปลี่ยนหลายคน ตั้งแต่ราฟา, ฮ็อดจ์สัน, ดัลกลิช จนถึง เบรนแดน ร็อดเจอร์ส
  • ผลงานในลีกไม่แน่นอน บางปีถึงขั้นพลาดโควตายุโรป

แม้จะมีโมเมนต์ใกล้แชมป์ลีกในปี 2013–14 กับระบบเกมบุกสุดโหดของ หลุยส์ ซัวเรซ, สเตอร์ลิง และสเตอร์ริดจ์ แต่สุดท้ายก็หลุดลุ้นเพราะความผิดพลาดช่วงท้ายฤดูกาล


บทที่ 4: การมาถึงของเจอร์เก้น คล็อปป์ (2015)

8 ตุลาคม 2015 คือวันที่ลิเวอร์พูลประกาศแต่งตั้ง เจอร์เก้น คล็อปป์ อดีตกุนซือดอร์ทมุนด์เข้ามาคุมทีม นี่คือจุดเริ่มต้นของการฟื้นคืนชีพอย่างแท้จริง

คล็อปป์ไม่ได้แค่เปลี่ยนทีมในเชิงแท็กติก แต่เปลี่ยนทั้ง “ปรัชญา” และ “วัฒนธรรม” ของทีม เขานำแนวทางการเล่น Gegenpressing หรือการเพรสซิ่งทันทีหลังเสียบอล และสร้างวัฒนธรรมแห่งความสามัคคี ความเชื่อมั่น และแรงบันดาลใจ

ปีแรกแม้ไม่ได้คว้าแชมป์ แต่เขาพาทีมเข้าสู่รอบชิงยูโรปาลีกและลีกคัพทันที นั่นคือสัญญาณว่าลิเวอร์พูลกำลังมาถูกทาง


บทที่ 5: การสร้างทีมเพื่ออนาคต

ความสำเร็จของลิเวอร์พูลในปี 2019 ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะโชคช่วย แต่มาจากการ “สร้างรากฐานอย่างเป็นระบบ” ของคล็อปป์:

  • ซื้อขายแม่นยำ: การเซ็นสัญญานักเตะอย่าง โมฮาเหม็ด ซาลาห์, ซาดิโอ มาเน่, โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่, เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค, อลิสซง เบ็คเกอร์ และแอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน คือหัวใจหลักของทีมที่คว้าแชมป์ยุโรป
  • ระบบพัฒนาเยาวชน: การปั้นเทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ และโอกาสให้ผู้เล่นดาวรุ่ง
  • ทีมงานโค้ชและวิทยาศาสตร์การกีฬา: ลิเวอร์พูลกลายเป็นทีมที่ฟิตที่สุดในลีก ด้วยระบบการฝึกซ้อมและวิเคราะห์ข้อมูลที่ทันสมัย

บทที่ 6: ฤดูกาล 2017–18 – ลางบอกเหตุ

ฤดูกาล 2017–18 ลิเวอร์พูลกลับสู่เวทียูฟ่า แชมเปียนส์ลีก และสร้างความฮือฮาด้วยฟอร์มการเล่นเกมรุกดุดัน ยิงกระจาย เขี่ยแมนฯ ซิตี้ตกรอบ และเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศกับเรอัล มาดริด

แม้จะแพ้ 1-3 ด้วยความผิดพลาดของผู้รักษาประตูลอริส คาริอุส และการเสียโม ซาลาห์จากการปะทะกับรามอส แต่แฟนบอลกลับรู้สึกถึง “พลังแห่งอนาคต” ว่าทีมนี้กำลังจะยิ่งใหญ่ในไม่ช้า


บทที่ 7: ปาฏิหาริย์แห่งแอนฟิลด์ – UCL 2018–19

ฤดูกาล 2018–19 ลิเวอร์พูลถูกจับตาว่าเป็นหนึ่งในทีมเต็ง และทีมก็ไม่ทำให้ผิดหวัง:

  • รอบแบ่งกลุ่มหนักแต่ผ่านเข้ารอบ
  • รอบน็อคเอาต์ชนะแบเยิร์น มิวนิค และปอร์โต้
  • รอบรองเจอบาร์เซโลนาที่มีเมสซีนำทัพ — เกมแรกแพ้ 0-3

แต่ ในค่ำคืนวันที่ 7 พฤษภาคม 2019 ที่แอนฟิลด์ ลิเวอร์พูลสร้างหนึ่งในปาฏิหาริย์ที่สุดของแชมเปียนส์ลีก ด้วยการพลิกกลับมาเอาชนะบาร์ซา 4-0 โดยไม่มีซาลาห์และมาเน่ลงเล่นเต็มความสามารถ

ท่าพลิกตัวเปิดลูกเตะมุมของอเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ และการจบสกอร์ของโอริกี้ ทำให้ค่ำคืนนั้นกลายเป็นนิยายลูกหนังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของศตวรรษ


บทที่ 8: แชมป์ยุโรปสมัยที่ 6 – นัดชิงที่มาดริด

วันที่ 1 มิถุนายน 2019 ลิเวอร์พูลพบกับท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ในรอบชิงชนะเลิศที่มาดริด เกมนี้ไม่ได้ระทึกเหมือนปีที่ผ่านมา แต่เต็มไปด้วยสมาธิและความมุ่งมั่น

  • นาทีที่ 2 โม ซาลาห์ยิงจุดโทษให้ลิเวอร์พูลขึ้นนำ
  • นาทีที่ 87 ดิว็อก โอริกี้ ยิงประตูตอกย้ำชัยชนะ

ลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีกสมัยที่ 6 และคล็อปป์ก็ได้แชมป์ยุโรปใบแรกในฐานะผู้จัดการทีม — นี่คือจุดสูงสุดของการเดินทางที่เริ่มต้นจากความมืดมิด


บทที่ 9: บทพิสูจน์หลังแชมป์

หลังจากคว้าแชมป์ UCL ลิเวอร์พูลยังเดินหน้าคว้าแชมป์ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ, ฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ และในที่สุดก็ได้แชมป์พรีเมียร์ลีกที่รอคอยในฤดูกาล 2019–20

ความสำเร็จเหล่านี้คือบทพิสูจน์ว่า การกลับมาของลิเวอร์พูลไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นการสร้างทีมด้วยความตั้งใจ มุ่งมั่น และเต็มไปด้วยศรัทธา


บทสรุป: ลิเวอร์พูล – จากความมืดสู่แสงสว่าง

เรื่องราวของลิเวอร์พูลจากยุคตกต่ำสู่การคว้าแชมป์ยุโรปในปี 2019 ไม่ใช่แค่เรื่องของฟุตบอล แต่เป็นบทเรียนของ “ความหวัง, ความอดทน, และความศรัทธา”

จากสโมสรที่หลายคนคิดว่าไม่มีวันกลับมายิ่งใหญ่ กลับลุกขึ้นมาพิสูจน์ตัวเองบนเวทียุโรปอีกครั้ง และวันนี้พวกเขาไม่ใช่เพียงทีมที่กลับมา — แต่คือสโมสรที่กลายเป็นแรงบันดาลใจให้ทั้งโลกฟุตบอล

เพราะสำหรับลิเวอร์พูล “คุณไม่มีวันเดินเดียวดาย” และตราบใดที่มีเสียงเพลงจากแอนฟิลด์ดังก้อง ความฝันก็ไม่มีวันดับลง


หากต้องการสรุปย่อ, รูปแบบ PDF, หรือภาพประกอบอินโฟกราฟิกของบทความนี้เพิ่มเติม บอกได้เลยครับ!